ฮ่องกงเป็นประเทศเล็กๆ ที่เที่ยวง่าย เดินทางสะดวก มีเงินซัก 15,000 บาท ก็สามารถตีตั๋วไปช้อป ชิม ชิว ที่ฮ่องกงได้ การเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดของเกาะฮ่องกง ผมใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินเป็นหลัก อาจมีนอกใจไปนั่งรถบัสบ้างนิดหน่อย แต่จะขอย้ำว่าการไปเที่ยวฮ่องกงครั้งนี้ ในส่วนของการท่องเที่ยวใช้เงินไปน้อยมาก แต่หมดไปกับการช้อปปิ้งแบบถล่มทลาย (เค้าขอไม่เล่าตอนไปช้อปปิ้งนะ เกรงใจ!)
จองตั๋วไปฮ่องกง
ผมจองตั๋วเครื่องบินไปกลับของสายการบิน Cathay Pacific ในราคาประมาณ 5,xxx บาทครับ เดินทางไฟท์ประมาณตีหนึ่งถึงฮ่องกงตีสี่แล้วก็เที่ยวเลย (ตอนนี้น่าจะไม่มีไฟร์ทนี้แล้วนะครับ สำหรับไฟร์ทเช้ามืด หลังเที่ยงคืนถึงฮ่องกงตอนเช้าน่าจะเหลือแค่ Hongkong Airline ครับ) แต่ยังมีสายการบินอื่นๆ ที่มีราคาตั๋วถูกกว่า ใครอยากได้ตั๋วราคาถูกกว่านี้ก็ลองหาดูครับ
โรงแรมที่ฮ่องกง ใครบอกว่าแพง
ที่พักผมจองโรงแรม HOTEK MK ผ่าน Agoda สาเหตุที่จองเพราะ โรงแรมเป็นตึกส่วนตัว ไม่ได้เป็นตึกที่แชร์กับโรงแรมอื่นๆ แถมยังราคาก็โอเคไม่ถูกไม่แพงมาก เพียง 1,1xx ต่อคืนครับ (หากอยากได้ราคาที่ถูกลงกว่านี้ ลองหาโฮสเทลดูละกัน มีหลากหลายแห่งให้เลือก ราคาก็ไม่เกิน 1 พันบาท)
ฮ่องกง เมืองแห่งการเดินทาง
นี้คือแผนที่รถไฟทั้งหมดของฮ่องกงครับ การเดินทางเที่ยวฮ่องกงในครั้งนี้ ผมเลือกเดินทางกับรถไฟฟ้าเป็นหลักครับ รถไฟครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ในฮ่องกงและอยู่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว การเลือกใช้รถไฟทำให้การเที่ยวครั้งนี้สะดวกมากยิ่งขึ้น ใครที่แพลนมาแล้วว่าจะใช้แค่รถไฟเพียงอย่างเดียว สามารถซื้อ MTR Tourist Day Pass ได้ เพราะใช้เท่าไรก็ได้ในราคาเดียวครับ
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินแล้ว อย่างแรกเลยคือ ผ่าน ตม หลายๆ คนอาจจะเคยอ่านพันทิพย์มาและกลัวว่า ตม ฮ่องกงจะโหด สำหรับผู้ชายไม่ต้องกังวลไปนะครับ เขาจะไม่ค่อยเพ่งเล็งมากสักเท่าไร (อย่าทำตัวให้เป็นคนน่าสงสัยก็พอ) สำหรับพาสปอตขาว ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด สำหรับผู้หญิง จริงๆ ก็ไม่ได้น่ากลัวนะ แต่ก็อาจจะมีสุ่มถามบ้างนิดหน่อย แต่ไม่ต้องกลัวนะหากเรามาเที่ยวจริงๆ มีหลักฐานครับก็แสดงให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้จะมาทำอะไรผิดกฏหมาย [เทคนิคผ่าน ตม ยังไงให้ฉลุย]
DAY1
ผ่าน ตม รับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว มองหา Counter ของ Airport Express เพื่อซื้อบัตร Octopus (แฮ่ๆ ขอโทษที่ถ่ายรูปกลับหัว) มันคือบัตรเติมเงินที่ใช้ชำระค่ารถไฟฟ้า รถบัส หรือชำระค่าสินค้าตามร้านค้าต่างๆ (หากลืมซื้อที่สนามบิน ก็สามารถซื้อได้ที่ Customer Service Centre ทุกสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน)
ที่แรกที่ผมจะไปคือ ไปไหว้พระใหญ่ที่ Ngong Ping หลายๆ คนนิยมขึ้นกระเช้าข้ามภูเขาไป Ngong Ping ได้ดูวิวสวยๆ บรรยากาศดีๆ แต่มันติดตรงที่ว่า กระเช้าต้องรอเปิดตอน 10 โมง แถมต่อแถวยาวมาก ผลเลยเลือกการเดินทางโดยใช้การนั่งรถบัสขึ้นไปครับ ได้บรรยากาศไปอีกแบบ แถมราคายังถูกกว่าหลายเท่ามาก โดยก่อนอื่นเราต้องนั่งบัสสาย S1 ครับ จากสนามบินมาลงที่ Tung Chung (สุดสายนั้นแหละ)
ขึ้นทางประตูหน้า แล้วนำบัตร Octopus แตะที่เครื่องข้างคนขับ จากนั้นเลือกที่นั่งได้ตามต้องการ เวลาลงก็กดกริ่งแล้วแตะบัตรที่ประตูหลัง (ประตูหน้าสำหรับขึ้น ประตูหลังสำหรับลงนะครับ แล้วอย่าลืมแตะบัตรทุกครั้งละ)
พอเรามาถึงแล้ว ให้เราสังเกตุ Ngong Ping Cable Car ไว้ครับ มันจะอยู่ตรงข้ามกับ City gate Outlet แล้วก็เดินไปยัง Bus Terminal ครับ มองหาป้ายที่จอดรถบัสสาย 23 ไว้ เราจะขึ้นรถคันนั้นไป Ngong Ping กันครับ
นี้ก็คือรถบัสที่เราจะใช้บริการครับ สำหรับบัสสายนอกเมืองจะแบบนี้ มีประตูเดียวทั้งขึ้นและลงนะ ฉะนั้น ตอนขึ้นไปบนรถก็แตะบัตร ลงจากรถก็แตะบัตรอีกรอบที่ประตูเดียวกัน
ฮ่องกงกับพระใหญ่
นั่งรถบัสไป Ngong Ping ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีครับ ขับขึ้นมาจอดยังที่จอดรถบน Ngong Ping เลย
เดินตามแผนที่ไปไหว้พระกันครับ
พระพุทธรูปเทียนถาน หรือ พระใหญ่ ได้ถูกสร้างขึ้นโดยคณะสงฆ์แห่งวัดโปหลิน (วัดอยู่ตรงข้ามกับพระใหญ่) ใช้เวลาสร้างประมาณ 10 ปี แล้วเสร็จและเปิดให้เข้าไปกราบไหว้เมื่อปี พ.ศ. 2536 องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์นั่งอยู่บนฐานกลีบบัว ยกพระหัตถ์ขวาและแบพระหัตถ์ซ้ายไว้บนตัก พระเนตรจ้องมองลงมาเหมือนดังว่ากำลังประทานพรให้แก่ผู้ที่ไปกราบไหว้ หากใครต้องการขึ้นไปสักการะแบบใกล้ชิดสามารถเดินเท้าขึ้นบันได 268 ขั้น ได้แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ตลอดทางที่ขึ้นไปมีจุดให้แวะพักชมวิวอยู่บ้าง อากาศช่วงฤดูหนาวไม่ร้อน (แต่หนาวมาก) ทำให้ช่วยบรรเทาความเหนื่อยลงได้เยอะ
เราไปกันต่อที่ Po Lin Monastery หรือ วัดโปหลิน ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระใหญ่
วัดโปหลิน เป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธ์ของฮ่องกงและถูกเรียกว่าเป็น “โลกของพุทธศาสนิกชนในตอนใต้” เป็นสถานที่จำวัดของพระสงฆ์ที่เคร่งครัด เชื่อกันว่า หากใครได้ไปนมัสการขอพรพระใหญ่แห่งวัดโป่หลินแล้ว ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข และประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้าน ยังมีอีกที่ที่ควรจะไปชมนั้นคือ Wisdom Path เดินไกลออกไปหน่อย ทางเดินเป็นป่างสองข้างทาง แต่ไม่น่ากลัวครับ สามารถเดินคนเดียวได้สบายๆ
Wisdom Path เป็นแท่งไม้ที่สลักไว้ด้วยบทสวดเป็นภาษาจีน โดยเขียนตามลายมืออันวิจิตรของปรมาจารย์ร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เจ้า ซุง อี้ จำนวน 38 ต้น ซึ่งเรียงตัวกันเป็นรูป Infinity ครับ ชมความงดงามของ Wisdom Path กันจนอิ่มแล้ว เราจะเดินกลับไปที่ Ngong Ping Village
ผมมาเช้าไป ร้านยังไม่เปิดสักร้านครับ ทีนี้เป็นเหมือน Avenue มีร้านค้าเต็มไปหมด มีมินิมาร์ท โรงภาพยนต์ขนาดเล็ก ใครที่ไหว้พระ ทำบุญเสร็จแล้ว สามารถมาเดินเล่น หาของกิน หาของฝากที่ Ngong Ping Village ได้ นอกจากจะเป็นแหล่งช้อปและชิมแล้ว เดินไปสุดทางก็จะเป็น Cable Car ครับ ใครที่ใช้บริการสามารถขึ้น-ลงกระเช้าที่นี่เท่านั้น
ผมเดินทางกลับจาก Ngong Ping โดยรถบัสสาย 23 มาถึงที่ City Gate Outlet ก็แวะหาของกินกันเลย ใครทำกำลังหิวๆ แล้วอยากกินอาหารราคาประหยัดแต่อร่อย ลองชิมซูชิร้าน Sushi Take Out อยู่ตรงสถานีรถไฟใต้ดิน Tung Chung เป็นร้านซูชิราคาถูกครับ มีสาขาอยู่ทั่วฮ่องกง (อารมณ์ซูชิ 5 บาทบ้านเรา) แต่ขอบอกว่า มันอร่อย น่ากิน และคุ้มสุดๆ มาก อยากให้ลองกันเลย
บ่ายโมงกว่าแล้ว ไปเช็คอินที่โรงแรมดีกว่า ง่ายมากครับ โรงแรมผมอยู่แถวมงก๊ก ก็นั่งจากสถานี Tung Chung ไปเปลี่ยนสายที่สถานี Lai King แล้วไปลงสถานี Mong Kok ครับ รถไฟฟ้าเปลี่ยนสถานีง่ายมาก ไม่ต้องเดินออกจากสถานี เดินตามป้ายไปก็พอ ไม่หลงด้วย
โรงแรมที่พัก ชื่อ HOTEL MK ครับ เช็คอินโดยการยื่นพาสปอต และจ่ายค่ามัดจำประมาณ 500HKD (จะได้คืนเมื่อเราเช็คเอ้าท์) เขาจะให้คีย์การ์ดเข้าตัวตึกและห้องพักครับ โรงแรมนี้เป็นตึกของตัวเองเลยไม่ได้แบ่งตึกกับใคร (หากใครมาฮ่องกงแล้วเคยพักโฮสเทลน่าจะพอทราบว่าในตึกเดียวจะมีหลายๆ โรงแรมอยู่ร่วมด้วย) ขนาดห้องไม่ใหญ่ ห้องที่จองขนาดประมาณ 12 Sqm ถามว่ามันประมาณไหน ก็ประมาณหมุนตัวแล้วนอนได้ทันทีครับ ไม่ต้องเดินไปไหนให้เมื่อย มีห้องน้ำในตัว อุปกรณ์ครบ ห้องนอนสบายไม่เหม็นอับ นั่งๆ นอนสักพักใหญ่ๆ ก็ได้เวลาไป The Peak กันต่อ
จากโรงแรมเราเดินทางโดยการนั่งจากรถไฟใต้ดินจากสถานี Mong Kong ไปสถานี Central
มองทั่วฮ่องกงที่ The Peak
การขึ้นไปชมวิวฮ่องกง The Peak การเดินทางแบบที่นิยมก็คงหนีไม่พ้นการใช้บริการ Tram แต่มันมีข้อเสียอยู่ตรงที่ต้องต่อแถวนานมาก เพื่อความประหยัดทั้งเงินและเวลา ผมใช้บริการรถบัสขึ้นไปแทน โดยเราจะเดินไป Bus Terminal ซึ่งอยู่ใต้ตึก Exchange ครับ หาป้ายเบอร์ 15 ไว้ เข้าแถวรอสักพักรถก็จะมาจอดให้เราขึ้น ใครต้องการความเสียว ความตื่นเต้นเหมือนนั่งอยู่ที่สูงชัน ให้ขึ้นไปนั่งบนชั้น 2 ของบัสได้เลย รถบัสจะขับขึ้นเขาไปเรื่อยๆ มันจะเสียวตรงที่ เรานั่งที่สูง ขึ้นไปบนที่สูง (แค่คิดก็รู้สึกเสียวท้องน้อยขึ้นมาเลย)
นั่งประมาณครึ่งชั่วโมงครับ ก็ถึง The Peak ตรงนี้จะมีทั้งตึกที่เป็นห้าง ด้านบนเป็นดาดฟ้า เปิดให้ชมวิว 360 องศา มีค่าบริการด้วยนะ แต่หากใครไม่อยากเสียค่าบริการก็สามารถหามุมอื่นๆ ได้เช่นกัน ชมวิวเสร็จแล้วก็นั่งบัสสาย 15 กลับมาที่เดิม แล้วเดินไปท่าเรือเพื่อข้ามไปยัง Tsim Sha Tsui สังเกตุป้ายดีๆ นะครับ ขึ้นเรือที่เขียนว่า to Tsim Sha Tsui (ขึ้นผิดเดี๋ยวไปอีกที่ไม่รู้ด้วยนะ)
พอข้ามฝั่งมาแล้ว เดินมานิดเดียว จะเป็นจุดชมวิวครับ เวลาประมาณ 2 ทุ่มจะมีการแสดงไฟตามตึกต่างๆ ในช่วงที่ผมไปจะมีโชว์ 3D Light อีกด้วย (อันนี้ต้องเช็คอีกทีนะว่ายังมีอยู่ไหม)
ยืนมองแสงสีบนเกาะฮ่องกง
The Symphony of Lights ได้ชื่อว่าเป็นการแสดงแสงสีเสียงกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งบันทึกโดย Guinness World Records การแสดงเริ่มตอนประมาณสองทุ่มตรง ระยะเวลาในการแสดงประมาณ 15 นาที
Hong Kong Pulse 3D Light Show จะแสดงที่ Hong Kong Cultural Centre และ Clock Tower ย่านจิมซาจุ่ย จะเริ่มแสดงหลังจากจบ The Symphony of Lights ผมชอบการแสดง 3D มาก รู้สึกแสง สี เสียง จัดเต็มที่สุด เมื่อชมการแสดงแสงสีเสร็จเรียบร้อย ถึงเวลาช้อปปิ้งย่านจิมซาจุ่ย (ขอไม่กล่าวถึงนะครับ เพราะไม่ได้ถ่ายรูปอะไรไว้เลย)
DAY2
วันนี้ไปเที่ยววัดกันครับ วัดแรกที่จะไปคือ Chi Lin Nunnery และ Nan Lian Garden นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Mong Kong ไปยังสถานี Dimond Hill ครับ
ซึมซับวัฒธรรมที่ฮ่องกง
วัดนางชี หรือ Chi Lin Nunnery สร้างขึ้นตามแบบฉบับของราชวงศ์ถัง เป็นการสร้างวัดแบบไม่ใช้ตะปูเลยสักตัว ภายในวัดจะมีบ่อบัวและต้นบอนไซดัดได้รูปทรงสวยงาม ห้องแต่ละห้องภายในวัดจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ด้านใน (ห้ามถ่ายภาพ) วัดสงบและร่มรื่นมาก
วัด Wong Tai Sin อยู่ที่สถานี Wong Tai Sin นั่งจากสถานี Dimond Hill แค่ 1 สถานีเท่านั้น
วัดหวังต้าเซียน หรือ Wong Tai Sin โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบเซนที่งดงาม วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าจีนหลายองค์อย่างเทพเจ้าหลักของวัดคือ เทพหวังต้าเซียน สำหรับคนโสดให้เดินมาข้างๆ จะเจอกับศาลกลางแจ้งของเทพเจ้าด้ายแดงหรือเทพเจ้าหยกโหลว เป็นรูปปั้นสีทองมีเสี้ยวพระจันทร์อยู่ด้านหลังประทับอยู่ ซึ่งชาวจีนนิยมมาขอพรความรักกันที่นี่
วัด Che Kung Temple วัดยอดนิยมของคนไทย เดินทางจากสถานี Wong Tai Sin ไปเปลี่ยนสายรถไฟที่สถานี Kowloon Tong และนั่งไปยังสถานี Tai Wai
วัดกังหัน วัดยอดนิยมของคนไทย
วัดกังหันครับ (Che Kung Temple) เป็นวัดยอดนิยมของคนไทยเลยทีเดียว วัดกังหันแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องการสะเดาะเคราะห์ มีความเชื่อว่ากังหันจะพัดพาสิ่งที่ไม่ดีออกไป จะมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต
ไปต่อกันฝั่งฮ่องกงบ้างครับ นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Tai Wait ไปยังสถานี East Tsim Sha Tsui แล้วเปลี่ยนสายคับ เดินไปสถานี Tsim Sha Tsui ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงนะ มันเป็นทางเชื่อมมีป้ายบอกชัดเจน นั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Tsim Sha Tsui ไปยังที่สถานี Admiralty เปลี่ยนสายรถไฟอีกครั้ง แล้วไปลงที่สถานี Causeway Bay ไปย่านช้อปปิ้งครับ นั่งรถไฟหลายต่อหน่อยนะ
แต่หากใครมาถึงสถานี Admiralty อยากจะลองนั่งรถรางบนเกาะฮ่องกงดูสักครั้งก็ได้นะครับ ลองดูสายรถรางจากกูเกิลแล้วพบว่า หลายสายผ่าน Causeway Bay เลยลองขึ้นดูสักครั้ง
เดินออกมาจากสถานีรถไฟเดินหาป้ายจอดรถราง ป้ายจอดรถรางจะไม่ได้อยู่ติดริมฟุตปาธนะครับ ต้องเดินข้ามถนนไปนิดนึง วิธีการขึ้นรถรางนั้นไม่ยากครับ สังเกตุป้ายหน้ารถรางว่ารถวิ่งไปที่ไหน แล้วขึ้นทางประตูหลังเลือกที่นั่งได้เลย พอจะลงที่ไหนกดกริ่งและเดินไปประตูหน้าข้างคนขับ นำบัตร Octopus มาแตะ ค่าบริการน่าจะ 2.3 HKD ราคาเดียวตลอดสาย
นั่งรถรางชมเมืองอย่างมั่นใจ สุดท้ายก็พบว่าหลงครับ คือผมนั่งผิดฝั่งไปออก Western Market ซะงั้น เดินคอตกไปนั่งรถไฟฟ้าเหมือนเดิม
สวรรค์นักช้อปที่เกาะฮ่องกง
Causeway Bay เป็นย่านที่คึกคักด้วยแสงสี มีห้างสรรพสินค้าเยอะแยะไปหมด สำหรับสายช้อปปิ้งไม่ควรพลาดย่านนี้ ยิ่งถ้าได้มาช่วงเซลทั้งเกาะ ก็จะสรุกกับการช้อปปิ้งเสื้อผ้าแฟชั่นกันจนกระเป๋าฉีกแน่นอน
DAY3
วัดสุดท้าย ตื่นเช้าขึ้นมาเช็คเอ้าท์แล้วก็รีบสั่งรถไฟไปที่ Airport Express สถานี Hong Kong ครับ ทำการซื้อตั๋ว Airport Express แบบเที่ยวเดียว และเข้าไปทำการ Intown Check-in ใครที่มีไฟร์ทเย็นๆ ค่ำๆ แล้วอยากเที่ยวก็ก็สามารถแตะบัตรออกมาได้นะครับ ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร แต่ขากลับสนามบิน ต้องมาขึ้นที่สถานีนี้นะ สำหรับผมจองไฟร์ทเช้ามาครับ เลยไม่ได้ออกไปเดินเล่นไหน แวะช้อปปิ้งรอบๆ สถานีรถไฟนิดหน่อยก็นั่งรถไฟกลับละครับ
จบทริปเที่ยวฮ่องกงเพียงเท่านี้ แม้จะมีเวลาน้อยไปหน่อย แต่ก็สามารถได้เที่ยวในแบบที่อยากเที่ยว ฮ่องกงเป็นเมืองที่ครบทั้งเรื่องกิน เรื่องเที่ยว เรื่องช้อปปิ้ง มาประเทศเดียวก็สามารถทำอะไรได้หลากหลาย ผมมีแพลนว่าครั้งหน้าจะกลับมาเที่ยวฮ่องกงอีกครั้ง แต่จะเน้นไปเที่ยวในแบบที่เป็นธรรมชาติ เดินเขา ลุยป่า แวะชายทะเล ชมชีวิตชาวประมง
ดตามรีวิวท่องเที่ยวได้ที่ Fanpage : เที่ยวคนเดียวต้องสตรอง